คุณโบโบ้ ธนศักดิ์ ลีธนศักดิ์สกุล เจ้าของผู้บริหาร BOBO STUDIO เวดดิ้งสตูดิโอชั้นนำระดับประเทศ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง อย่างที่คุณโบโบ้ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า “ต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน” เรื่องราวของ BOBO STUDIO จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวมาสู่ความเป็น “ชั้นนำระดับประเทศ”
โบ้ไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี โบ้จบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนสภาราชินีจังหวัดตรัง แล้วก็ตัดสินใจไปเรียนเสริมสวยต่อที่สถาบันเสริมสวยนิรันรัตน์-ธรรมรัตน์ (หลักสูตรนานาชาติ) พอเรียนจบก็ได้บรรจุเข้าเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนเสริมสวยนิรันรัตน์-ธรรมรัตน์ เนื่องจากอาจารย์มองเห็นฝีมือในระหว่างที่เรียนอยู่ ประกอบกับก็ยังทำงานพิเศษหารายได้เพิ่มเติมไปด้วย พอทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่กรุงเทพได้ราวๆ 3 เดือน โรงเรียนเสริมสวยฯสาขาภูเก็ตว่าง ก็ได้ทำเรื่องขอย้ายตัวเองมาอยู่ที่ภูเก็ต เพราะว่าอยู่ได้กับบ้านเกิดของเราด้วย”
แต่ตอนนั้นนอกจากการดูแลตัวเองแล้ว ก็ยังดูแลน้องสาวด้วยการส่งเรียนหนังสือด้วยอีกคน ก็เริ่มคิดว่าจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมเสริมรายได้ สิ่งเดียวที่เรามีอยู่คือความสามารถด้านแต่งหน้า ก็เลยรับจ๊อบแต่งหน้า เริ่มแต่งหน้าให้กับนิตยสารฉบับหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตด้วยการขอแต่งหน้าให้กับผู้ที่จะขึ้นปก ซึ่งผู้ที่จะขึ้นปกส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง (Celebrity) พอผลงานออกมาดูดีดูโอเค ก็จะเรียกไปแต่งหน้าออกงานมากขึ้น ด้วยการบอกต่อกันปากต่อปาก โดยรับค่าแต่งหน้าอยู่ที่ 500 บาท/หน้า-ผม
“การแต่งหน้าที่ทำให้กลายเป็นที่รู้จักมาที่สุด ก็คือได้รบเกียรติแต่งหน้าให้กับคุณนก(นิตยา ยั่งยืน)ในวันแต่งงาน ซึ่งจุดนั้นเองทำให้คนภูเก็ตรู้จัก “โบโบ้” มากยิ่งขึ้นไปอีก จริงๆก็ไม่ใช่หน้าแรกที่แต่งเจ้าสาว แต่พี่นกเป็นเจ้าสาวที่คนทั้งจังหวัดรู้จัก ก็ทำให้รู้จักเราจากการแต่หน้าให้กับพี่นกงานนั้นเยอะมากๆ”
“แต่งหน้าดารา”
เริ่มต้นจากการที่ดารามางาน Event ที่ Central Festival จะมีพี่ลูกน้ำที่คอยติดต่อให้ไปแต่งหน้าให้กับดาราที่มา พอเริ่มต้นจากคนที่หนึ่ง ก็บอกต่อกันไปเรื่อยๆ ลงไอจี ลงเฟสบุค แท็กกันไปเรื่อยๆทำให้ดาราคนอื่นเริ่มรู้จัก ตั้งแต่เปิดร้านมาจนถึงวันนี้เข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว มองว่ามันไม่ได้เป็นการโตที่ก้าวกระโดด แต่เป็นการพัฒนามาเรื่อยๆ ประสบการณ์ในการทำงานต่างๆก็เพิ่มพูนมากขึ้น งานมีการพัฒนามาขึ้น เราได้รู้จักช่างตัดชุดที่ดีขึ้น มีทีมช่างภาพที่เข้ามาตอบโจทย์กับเรา จนทำให้มีศิลปินดาราเข้ามาใช้บริการจากผลงานที่เห็นในไอจี ในเฟสบุค โดยเฉพาะ “คุณยุ้ย” จีรนันท์ มโนแจ่ม ดาราชื่อดังของช่อง 7 ก็ไว้ใจให้ทีมงานโบโบ้ดูแลเรื่องการถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง การจัดงานวันจริงในวันแต่งงาน พอภาพที่เผยแพร่ในโซเซียลก็ทำให้คนที่อยู่ในกรุงเทพ หรือคนที่อยู่ต่างจังหวัด มองเห็นความสวยงามของภูเก็ตมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าต่างจังหวัดมาใช้บริการที่โบโบ้สตูดิโอเพิ่มมากขึ้น
“มิสแกรนด์ภูเก็ต”
การประกวดมิสแกรนด์ภูเก็ต เป็นอะไรที่อยากทำมากๆ พอมีการเปิดขายลิขสิทธิ์ เลยตัดสินใจไปซื้อลิขสิทธิ์มา ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการประกวดแบบไหน ซึ่งพอคิดไปคิดมากลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เงินในการจัดการประกวดที่ค่อนข้างสูง เพราะเราคิดใหญ่ ทำใหญ่ ทำแล้วก็อยากออกมาให้ดีที่สุด พอคิดใหญ่ทำใหญ่ ทีมงานก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ ใช้ทีมเยอะมากๆ ก็เลยคิดว่าน่าจะเกิดกว่าที่จะทำเองไหว ก็เลยตัดสินใจไปคุยปรึกษากับพี่คิม ธีระศักดิ์ ผลงาม เจ้าของร้านอาหารตู้กับข้าว คุยกันไปคุยกันมากลายเป็นพี่คิมก็อยากทำด้วย ก็เลยยกลิขสิทธิ์การเป็นผู้จัด (PD) ให้กับพี่คิม ส่วนทีมเราก็จะเป็นคนที่ช่วยทำ ช่วยจัด ซึ่งผลงานในแต่ละปีก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคนที่เฝ้ามองอยู่แล้ว
ความสำเร็จ..ที่ได้มา “ไม่ง่าย”
กว่าที่จะก้าวมาจนถึงวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่ได้มีต้นทุนที่พรั่งพร้อมเหมือนคนอื่นๆ เราต้องใช้ความพยายาม ซึ่งเวลาเกิดปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามา ก็จะพยายาม “ยิ้มให้กว้างที่สุด” ยิ้มรับ..กับทุกปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ พยายามหาเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยความราบรื่นและพยายามเริ่มต้นใหม่ให้ได้ในทุกๆวัน “คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่ไม่หยุดพัฒนาตนเอง” คำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอ หากคุณจมอยู่กับความทุกข์ และมีทัศนคติในเชิงลบ ก็จะไม่อาจพัฒนาตัวเองไปได้
“หมั่นคุยกับตัวเองบ่อยๆ พยายามถามตัวเองว่า ในแต่ละวันรู้สึกอย่างไร ฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดรอบด้าน คิดให้เยอะ แต่ไม่ใช่คิดมาก เมื่ออยากมีความสุขพร้อมกับประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องรู้จักการคิดแบบผู้ใหญ่ ทำแบบเด็ก คือต้องมีความกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งใหม่ๆ สร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ให้กับตัวเองด้วยการลองทำสิ่งใหม่ๆ บ้าง ต้องกล้าลงมือทำแบบเด็กๆ ที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นบางอย่าง ตื่นเต้นกับสิ่งที่ทำ แต่เมื่อลงมือทำ ต้องรู้จักการคิดแบบผู้ใหญ่ มองทุกอย่างให้รอบคอบ มองภาพรวมและแนวทางหรือสิ่งที่จะทำต่อไป คิดให้รอบด้าน ทำให้โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้น้อย”
หยุดจับผิดคนอื่น แล้วหันมาใส่ใจตัวเอง
เลิกมองคนอื่นด้วยอคติ โดยการเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน หรือศูนย์กลางของจักรวาล เพราะแต่ละคนย่อมมีมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน เมื่อมองคนอื่นให้มองที่วิธีคิด การจัดการ และสิ่งดีๆ ชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ แล้วหันกลับมามองที่ตัวเรา หากจะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ให้มองข้อดีของเขา แล้วหาข้อเสียและจุดบกพร่องของตัวเอง เพื่อพัฒนาและแก้ไข โดยอาจนำวิธีการที่ดีของคนอื่นมาเป็นแนวทางได้ โดยไม่ดูถูกตัวเองและคนอื่น เพราะคนเราทุกคนย่อมมีศักยภาพในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องรู้จักดึงมาใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลาอย่างเหมาะสม และมีศักยภาพ ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากไปจนไม่ยอมรับความคิดอื่นๆ ไม่มองตัวเองในแง่ลบ ให้นึกอยู่เสมอว่าเราสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ หากขาดความรู้ ประสบการณ์ ก็ต้องลองออกไปหา ออกไปมองโลกภายนอกบ้าง ค่อยๆ พัฒนาตัวเองทีละนิด แต่ทำทุกวัน เราก็จะเก่งขึ้นได้