“ธีรศักดิ์ ผลงาม (คิม)”
กับการเลือกใช้ชีวิตยากๆ “แบบง่าย..ง่าย”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในชีวิต ก็มีทั้งคนที่รัก คนที่ไม่ชอบ รวมไปถึงคนที่คอยโจมตี แต่เราเลือกที่จะอยู่เฉย เพราะถือว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เลือกที่จะอดทนและเลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครต่อใครพูดกัน ทุกอย่างก็จะปรากฏขึ้นเอง เราทำดี..ก็ไม่จำเป็นต้องไปประกาศคุณความดีของเราให้ใครรู้ เราทำดีแบบปิดทองหลังพระไปเรื่อยๆ อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย การใช้ชีวิตโดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต..ไม่ใช่ “เรื่องยาก” ถ้าเราทำให้มันกลายเป็น “เรื่องง่าย..ง่าย” เอาแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่กับครอบครัวที่รักเราให้มีความสุข มีกัลยาณมิตรที่ดีและไม่เบียดเบียนใคร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับสังคมของเราเท่าที่เราทำได้ วางความอคติและความยึดติดของเราลง แล้วเราก็จะกลายเป็นคนใจกว้างขึ้นมาทันที คนดี ไม่ดี แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่รับรู้ก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ เรื่องบางเรื่องแค่มองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปข้องเกี่ยวให้ “ทุกข์ใจ” แค่นี้แหละ…การใช้ชีวิตของพี่”
ทั้งหมดนี้..คือบทสรุปของ “คุณคิม” ธีรศักดิ์ ผลงาม เจ้าของผู้บริหารร้าน “ตู้กับข้าว” , ร้าน “ดีบุกก้า” ผู้บริหารกรรมการโครงการ “Pool villa Kamalanathong House” และ “PD Miss Grand Phuket” ที่ได้รับรางวัลผู้จัดการประกวดยอดเยี่ยมติดต่อกัน 3 ปีซ้อน (2016-2018) และวันสบายๆกับการพูดคุยแบบไม่มีพิธีรีตองภายในโรงแรม Cloud 19 พันวา ธุรกิจโรงแรมน้องใหม่ล่าสุดที่กำลังอยู่ระหว่างปรับปรุง คุยกันถึงเรื่องราวบางบทบางตอนของช่วงชีวิต
ย้อนไปในช่วงชีวิตวัยเด็ก คุณคิมเล่าว่า จริงๆแล้วเกิดที่จังหวัดตรัง แต่ว่าย้ายมาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตตั้งแต่ขวบกว่าๆ ถือได้ว่าเป็นคนภูเก็ตไปแล้ว เท่าที่จำความได้ก็จำภาพของจังหวัดภูเก็ตไปจนเต็มเมมโมรี่ เริ่มต้นการศึกษาครั้งแรกที่โรงเรียนดาราสมุทร หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ (กทม.)ตัดสินใจไม่เอ็นทรานซ์ เลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง จนจบปริญญาตรี แล้วมุ่งหน้าไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโท ที่ Seattle University หลังจากเรียนจบก็เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ Seattle อยู่ยาวถึง 12 ปี โดยเริ่มต้นทำงานที่บริษัท JL Seafood Co.,LTD. ซึ่งมีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นทำงานนี้ ในช่วงระหว่างเรียนปริญญาโท ก็ยังได้ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทยที่มีคนเวียดนามเป็นเจ้าของ จากพนักงานเสิร์ฟ ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอาหาร ก็ผ่านการทดสอบขยับเป็นผู้ช่วยกุ๊กหน้าเขียง ทำอยู่ประมาณ 4-5 ปี ผู้บริหารมีปัญหากันเอง ก็เลยตัดสินใจซื้อร้านอาหารนี้กับเพื่อนนักเรียนไทยที่อยู่ Seattle ถือเป็นการลงทุนทำร้านอาหารครั้งแรก ทำอยู่หลายปี จนคุณแม่ป่วย ต้องผ่าตัดหัวใจ ก็เลยตัดสินใจลางานประจำที่ทำอยู่ และลาหุ้นส่วนร้านอาหาร ขอกลับมาเมืองไทยสัก 3 เดือนเพื่อมาดูแลคุณแม่ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ไม่ได้กลับไป Seattle อีกเลย
การกลับมาดูแลคุณแม่ที่ป่วยอยู่ ก็ถือเป็นการกลับมาเริ่มต้นชีวิตการทำงานแบบเต็มรูปแบบอีกครั้งที่จังหวัดภูเก็ต โดยธุรกิจแรกที่หันมาจับก็คือธุรกิจเรียลเอสเตส ซึ่งโครงการแรกที่ทำในรูปแบบของ Property ทำอยู่ในพื้นที่ของกมลา ทำเสร็จยังไม่ทันบริหารก็มีคนมาขอซื้อทั้งโปรเจค จากนั้นมาเริ่มต้นโปรเจคที่ 2 ที่ถือว่าทุ่มทุนสร้างแบบเต็มๆก็ คือโครงการ Pool villa Kamalanathong House พื้นที่โครงการตั้งอยู่ใกล้กับภูเก็ตแฟนตาซี ทั้งหมด 68 วิลล่า ขายได้หมดแล้ว และตอนนี้กำลังจะขึ้นเฟส 2 อีก 20 วิลล่า รวมถึงกำลังมองว่าจะลงทุนเฟส 3 ต่ออีกหรือไม่ด้วยในพื้นที่กมลาเช่นเดียวกัน
นั่นคือ สิ่งที่กลับมาใช้ชีวิตและทำธุรกิจอยู่ในจังหวัดภูเก็ตช่วงแรกๆ แต่อย่างไรก็ตาม ความชอบลึกๆบวกกับความโหยหาในการทำร้านอาหารก็ยังคงครุกรุ่นในหัวใจผู้ชายคนนี้อยู่เสมอ และต้องต่อสู้กับความรู้สึกของคุณแม่ที่ไม่ต้องการให้ไปทำร้านอาหาร เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่เหนื่อย เหนื่อยทั้งคน เหนื่อยทั้งการบริหาร แต่สุดท้ายแล้วด้วย “ความดื้อ” บวกกับ “ใจรัก” ร้านอาหารร้านแรกก็เกิดขึ้นด้วยการซื้อแฟนชายส์มาลงที่ภูเก็ต และเลือกโลเคชั่นที่โฮมโปรวิลเลจ ห้าแยกฉลอง ทำอยู่หลายปี แล้วทำให้เจ้าของแฟนชายส์รู้สึกว่า ความเป็นตัวตนของเขาหายไปจึงตัดสินใจเปลี่ยนสูตรอาหารเพื่อให้โดนใจคนภูเก็ตมากขึ้น พร้อมทั้งคืนแฟนชายส์ บวกกับระยะนั้นห้าแยกฉลองทำอุโมงค์ ซึ่งคิดว่าต้องใช้เวลานานในการก่อสร้างจึงตัดสิ้นใจปิดร้าน จนมาถึงร้านอาหารที่ 2 ที่เป็นร้านที่ครีเอทขึ้นด้วยตัวเอง โดยเลือกขยับเข้ามาในเมืองอีกนิด โลเคชั่นที่ลานลม Central Phuket ในชื่อ Table Spoon ขณะที่ Table Spoon เติบโตไปแบบสวยๆ ก็มีน้องชาย ชื่อน้องสตางค์ เจ้าของเรือทัวร์เลิฟอันดามัน แวะมาทานที่ร้านเทเบิลสปูน เกือบทุกวัน บอกว่า “พี่ควรจะไปเปิดร้านในเมือง ร้านพี่รสชาติอาหารอร่อยมากๆ” ก็ตั้งใจว่าถ้ายังหาโลเคชั่น หรือหาตึกเก่าไม่ได้ก็ยังไม่อยากทำ เพราะว่าคนที่ไปทานอาหารพื้นเมืองภูเก็ต มันต้องได้ฟีลลิ่งครบถ้วนทุกอย่าง ทั้งรสชาติอาหาร ทั้งบรรยากาศในการนั่งกินอาหาร จนสุดท้ายก็มาจบกันที่ ได้บ้าน 3 หลังที่เป็นที่ตั้งของร้านอาหารตู้กับข้าวปัจจุบันนี้ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก แล้วก็ยังต่อยอดเป็นอาหารพื้นเมืองภูเก็ตในสไตล์ฟิวชั่นที่ร้านดีบุกก้า แล้วประมาณปลายปีนี้ก็จะมีร้านตู้กับข้าว สาขา 2 ที่ Porto de Phuket ลากูน่า
เรียกได้ว่าไปได้สวยและเติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับธุรกิจที่เกิดขึ้นจากความรักและความต้องการสานต่อความตั้งใจของคุณแม่ มาถึงอีกหนึ่งภาคของชีวิต ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ นั่นก็คือ การเป็นผู้จัดการประกวด Miss Grand Phuket จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากการที่มีน้องที่ต้องขอเอ่ยชื่อในที่นี้ก็คือ น้องโบโบ้ เจ้าของโบโบ้สตูดิโอ นำลิขสิทธิ์การประกวด Miss Grand มาบอกว่า ซื้อมาและอยากให้ช่วยเป็นผู้จัดการ แรกที่เดียวก็ไม่ได้ให้ความสนใจ บอกตกลงแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่ได้มีความสนใจในเรื่องนี้ ไม่ดูการประกวด ไม่สนใจที่จะจัดการประกวด แต่ด้วยแววตาและความเชื่อมั่นของน้องโบโบ้ที่บอกเราว่า “เราทำได้” ก็ทำให้เราต้องเริ่มต้นไปย้อนดูการประกวด
ไปศึกษาที่มาที่ไป ลึกไปถึงเจ้าลิขสิทธิ์ คือคุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ก็เป็นคนที่น่ารักและเราก็ชื่นชอบในผลงานอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าลองดูสักทีก็แล้วกัน อาจจะทำปีเดียว หรือถ้าดีก็จะทำต่อปีต่อไป
เป็นการจัดการประกวดที่ปังมากๆ ได้รับการพูดถึง (Talk of The Town) อย่างล้นหลาม เกินความคาดหวังของเราและทีมงาน โดยเฉพาอย่างยิ่งการได้รับรางวัล “P.D.(Provincial Director) ผู้จัดการประกวดยอดเยี่ยม จาก 77 จังหวัดมา 3 ปีซ้อน (2016,2017และ 2018)” ยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักและโด่งดังมากยิ่งขึ้น จากปีแรกจนถึงปีนี้ก็กลายเป็นผู้จัดการประกวดยอดเยี่ยมมาโดยตลอด แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าในทางความรู้สึก โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้อะไรกลับมาเลย บางปีขาดทุน บางปีเสมอตัว บางปีก็ต้องควักทุนเยอะหน่อย ก็ว่ากันไปตามบริบทของการจัดงานในแต่ละปี แต่สุดท้ายเราก็ยืนยันว่าเราได้ทำให้กับจังหวัดภูเก็ต ต้องขอบคุณน้องๆทีมมิสแกรนด์ทุกๆ คนน่ารักมาก ทุกคนช่วยกันด้วยหัวใจ ทำให้จังหวัดภูเก็ตกลายเป็นที่รู้จักในอีกแง่มุมหนึ่งเลย”
แน่นอนว่า ในทุกๆจังหวะของชีวิตหรือการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ย่อมจะต้องเกิดปัญหาและอุปสรรคบ้างไม่มากก็น้อยแล้วแต่วิถีทางของใครก็ของมัน สำหรับคุณคิมนั้น มองปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กๆ ที่จะต้องไม่ทำให้ชีวิตสะดุดหรือหยุดเดิน และยังคงส่งต่อหลักคิดที่ได้มาจากคุณแม่ ที่เป็นเสมือน “ไอดอล” หนึ่งเดียวที่ยึดถือมาตลอดให้กับน้องๆใกล้ชิดหลายๆคนว่า ทุกๆปัญหาย่อมมีทางออก อย่ายืนย้ำคิดย้ำทำว่ามันคือ “ปัญหา” แต่อยากให้มองข้ามไปถึงทางแก้ปัญหา แล้วลงมือแก้ปัญหา โดยย้อนกลับไปมองที่ต้นเหตุ เกิดตรงไหน แก้ตรงนั้น แล้วมันก็จะข้ามผ่านไปได้ในที่สุด
“ไอดอลในการดำเนินชีวิตของพี่เอง มีอยู่ตั้งแต่เด็กๆและมีเพียงคนเดียวก็คือ “คุณแม่” จริงๆทุกคำสอนของท่านดีมากๆ สามารถนำมาเลือกใช้ได้ในทุกๆจังหวะของชีวิต โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจที่ไม่ได้ตรงกับสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมา พี่จะบอกเสมอว่างานแบบนี้พี่ทำไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนมา แต่คุณแม่ก็จะบอกว่า คนเราหากว่าไม่ได้ลองลงมือทำจะรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้ ให้ลองลงมือทำดูก่อน ได้หรือไม่ได้เดี๋ยวมาว่ากัน คนเราต้องสู้ ต้องกล้าที่จะลงมือทำ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างเลย คำสอนนี้ก็เป็นคำสอนที่ตราตรึงไว้ในหัวใจมาตลอด อีกคำสอนก็คือ “การกระทำสำคัญที่สุด” เมื่อไรก็ตามแต่ที่ได้ลงมือทำ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ภูเก็ตเป็นแค่เกาะเล็กๆ ทำอะไรก็ถึงกันหมด อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย การใช้ชีวิตโดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต..ไม่ใช่ “เรื่องยาก” ถ้าเราทำให้มันกลายเป็น “เรื่องง่าย..ง่าย” เอาแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่กับครอบครัวที่รักเราให้มีความสุข มีกัลยาณมิตรที่ดีและไม่เบียดเบียนใคร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับสังคมของเราเท่าที่เราทำได้ วางความอคติและความยึดติดของเราลง แล้วเราก็จะกลายเป็นคนใจกว้างขึ้นมาทันที คนดี ไม่ดี แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่รับรู้ก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ เรื่องบางเรื่องแค่มองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปข้องเกี่ยวให้ “ทุกข์ใจ” แค่นี้แหละ…การใช้ชีวิตของพี่”